ไหนใครชอบทานผักบ้าง ยกมือขึ้น! 🥬🥦🥒🙋🏻♀️
โดยปกติเราจะนำผักแต่ละชนิดมาประกอบอาหารตามเมนูที่เหมาะสม เช่นแตงกวา ผลสดนำมาจิ้มนํ้าพริก มันฝรั่งนำไปต้มจนสุก แล้วรับประทาน ในผักแต่ละชนิดมีคุณค่าทางสารอาหารที่แตกต่างกัน เช่น ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เคยสงสัยไหมว่าการทานแบบสดและแบบต้ม คุณค่าทางสารอาหารแบบไหนจะได้รับสารอาหารและมีผลดีกับร่างกายมากกว่า…
ปรุงสุกแล้วเกิดอะไร? 🍲
การปรุงสุกช่วยเพิ่มปริมาณของสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระในผักได้ดี
*แต่ในขณะเดียวกัน ปัจจัยที่ส่งผลให้สารอาหารลดลง คือ น้ำหรือการปรุงด้วยน้ำ โดยเฉพาะในการต้ม เพราะสารอาหารบางชนิดสามารถละลายในน้ำ อย่างวิตามินซี วิตามินบี เมื่อนำผักที่มีสารอาหารเหล่านี้ไปปรุงด้วยวิธีการต้มอาจลดปริมาณของวิตามินที่ละลายน้ำได้ถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ทานสดแล้วเกิดอะไร? 🥗
การทานผักสดจะได้รับวิตามินซี วิตามินบีแบบครบถ้วน เพราะไม่ถูกละลายไปกับนํ้าแบบวิธีต้ม แถมยังได้รับสารอาหารและแร่ธาตุอื่นๆ แบบเต็มๆ อีกด้วย
*แต่ในขณะเดียวกัน มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารได้สูง อาจมาจากเชื้อโรคตามธรรมชาติ เช่นปุ๋ยมูลสัตว์ หรือจากการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสมพอ และยังมีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนยาฆ่าแมลงได้ ซึ่งการสัมผัสกับเชื้อและสารเคมีอาจส่งผลให้ท้องเสีย ปวดท้อง เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้เลย
สรุปแล้วควรทานแบบไหน?
จะเห็นว่า การทานทั้งแบบสดและแบบสุก มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การจะเลือกทานแบบใดแบบหนึ่งอาจไม่ใช่ทางออกที่ดี เราสามารถทานได้ทั้งสองแบบ เพียงทานอย่างเหมาะสม เช่น
💚 ถ้าต้องการปรุงผักให้สุก
หากต้องการเก็บสารอาหารไว้ได้มากที่สุด ควรเลือกปรุงด้วยการนึ่ง ย่าง หรือผัดแทนการต้มเพื่อลดปริมาณสารอาหารที่อาจเสียไปจากการละลายน้ำ แต่อย่าลืมคำนึงถึงปริมาณนํ้ามันและส่วนผสมอื่นๆ ด้วยน้า
💚 ถ้าต้องการรับประทานผักสด
ควรล้างผักด้วยน้ำสะอาดที่ไหลผ่านตลอด และใช้มือลูบผักเบา ๆ เพื่อล้างเชื้อโรคและสารเคมีให้หลุดออกง่ายขึ้น หากพบว่าผักช้ำหรือมีลักษณะที่ต่างไปจากเดิม ควรตัดหรือเด็ดส่วนนั้นออก
สรุปได้ว่าไม่ว่าจะทานแบบไหนเราก็จะได้รับสารอาหารและดีต่อสุขภาพได้ เพียงทำถูกวิธี และควรทานอาหารอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน